งูสวัด
งูสวัด คือ โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) ชนิดเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดอีสุกอีใส พบมากในผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
หากเชื้อชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายผู้ที่ไม่เคยได้รับเชื้อก็จะทำให้เป็นโรคอีสุกอีใส และเมื่อหายเป็นปกติแล้ว เชื้อดังกล่าวจะหลบอยู่บริเวณปมประสาทของร่างกาย และจู่โจมร่างกายเมื่อร่างกายอ่อนแอจนเกิดเป็นงูสวัด
เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้หากได้รับการรักษาทันท่วงที ยิ่งพบแพทย์เร็ว ก็จะยิ่งลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน หากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
อาการของโรคงูสวัด
1.ตุ่มน้ำอาจเกิดขึ้นในลักษณะเป็นกลุ่ม มักจะเริ่มต้นขึ้นจากบริเวณเล็ก ๆ ของร่างกายฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ก่อนจะเริ่มลุกลามไปยังบริเวณอื่นในฝั่งร่างกายเดียวกัน
2.มีอาการปวดตามตัว ก่อนมีผื่น 2-3 วัน
3.มักจะไม่มีไข้ หรือมีไข้ ปวดศีรษะ
4.ผิวหนัง อาจจะคันผิวหนัง บางคนมีอาการปวดแสบปวดร้อน
บริเวณที่พบผื่นงูสวัดได้มากที่สุดคือบริเวณอกและเอวข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสน้อยมากหรือแทบไม่มีโอกาสเลยที่จะเกิดงูสวัดขึ้นทั้ง 2 ข้างของร่างกายในคนปกติ บางครั้งอาจมีผื่นขึ้นที่บริเวณใบหน้า คอ หรือในดวงตาได้อีกด้วย

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคงูสวัด
1.เป็นโรคไข้อีสุกอีใสมาก่อน
2.อายุมาก
3.เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
4.มีความเครียด
การรักษางูสวัด
1. ปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยให้ถูกต้อง และรักษาถูกวิธี อาการดูเหมือนใกล้เคียงกับแมลงก้นกระดกคือแสบและเป็นตุ่มหนอง ซึ่งการรักษาจะแตกต่างกันอย่างมาก หากรักษาผิดวิธีจะทำให้แผลรุกราม และการรักษาจะยากขึ้น
2.แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสทันทีภายใน 2-3 วัน หลังเกิดอาการ ร่วมกับยาแก้ปวด หรือยาทาปะคบ เพื่อลดความรุนแรง และช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น รวมทั้งช่วยลดอาการปวดแสบ และอาการแทรกซ้อนอื่นๆ
3.สำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
4.สำหรับผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดขึ้นที่ตา จะได้รับยาต้านไวรัสชนิดทาน และหยอดตาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตาซึ่งอาจจะทำให้ตาบอดได้
ถ้ามีอาการปวดหลังการติดเชื้อ สามารถรับประทานยาพาราเซตตามอลแก้ปวดร่วมกับยาต้านไวรัส
6.ไม่พ่นหรือทายา เช่นยาพื้นบ้านหรือยาสมุนไพรลงไป บริเวณตุ่มน้ำ เพราะอาจติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้แผลหายช้า และกลายเป็นแผลเป็นได้
การป้องกันงูสวัด
เราสามารถป้องกันโรคงูสวัดได้โดยการป้องกันไม่ให้ร่างกายรับเชื้อไวรัส วิธีการป้องกันแบบง่าย ๆ คือ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนเปิดโอกาสให้เชื้อไวรัสดังกล่าวจู่โจมร่างกาย
การสัมผัสตุ่มน้ำหรือแผลของผู้ป่วยงูสวัดอาจทำให้ผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเกิดเป็นโรคสุกใสได้ ดังนั้นควรแยกข้าวของเครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดตัว ที่นอน ของผู้ป่วยโรคงูสวัดกับผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดแล้ว โดยสามารถลด โอกาสการเกิดโรคงูสวัด หรือหากว่าเกิดการติดเชื้อจะสามารถลดความรุนแรงของอาการงูสวัดและอาการปวดหลังการติดเชื้อ แนะนำให้ฉีดในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
